ต้นกำเนิดของชาผู่เอ่อร์

ชาผู่เอ่อร์

ต้นกำเนิดของชาผู่เอ่อร์เริ่มมาจาก Tea-Horse Road(茶马古道 Cha Ma Gu Dao) หรือเส้นทางโบราณที่ใช้คาราวานม้าเป็นพาหนะในการขนส่งใบชาผู่เอ่อร์

จากมณฑล ยูนนานไปยังเมือง หรือประเทศอื่นๆ  โดยมีเส้นทางหลักที่สำคัญอยู่ 3 สาย (แยกเป็น 6 เส้นทางขนส่ง) คือ

1. สายยูนนาน – ปักกิ่ง

2. สายยูนนาน – ธิเบต

3. สายยูนนาน – ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงค์โปร์ มาเลเซีย พม่า ไทย ฯลฯ 

      ในเส้นทางทั้ง 3 สายนี้ เส้นทางสายยูนนาน – ธิเบต ถือเป็นเส้นทางขนส่งที่ยาวไกล อันตราย และมีความยากลำบากในการขนส่ง

ใบชาผู่เอ่อร์มาก ที่สุด โดยได้เริ่มใช้เป็นเส้นทางขนส่งนี้มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เริ่มจากมณฑลยูนนาน ขนส่งผ่านเมืองต้าหลี่

ลี่เจียง แชงกรีล่า จนกระทั่งไปถึงธิเบต แต่เนื่องจากระยะทางในการขนส่งใบชาผู่เอ่อร์ไปตามเส้นทางแต่ละสายนั้นใช้เวลานาน

หลายเดือน ส่งผลให้ใบชามีกลิ่นหืน  พ่อค้า และผู้ผลิตใบชาผู่เอ่อร์ในยุคนั้น จึงได้คิดหาวิธีที่จะทำให้ใบชาผู่เอ่อร์สามารถเก็บรักษา

ได้เป็นระยะเวลายาวนาน โดยคงคุณสมบัติ คุณภาพ และรสชาติของใบชาไว้ตามเดิม  จึงได้นำ ใบชาผู่เอ่อร์มาผ่านกระบวนการหมักบ่ม

และอัดแน่นจนเป็นก้อน ซึ่งวิธีการนี้ นอกจากจะสามารถทำให้ใบชาไม่มีกลิ่นหืนแล้ว ยังทำให้สามารถเก็บใบชาผู่เอ่อร์ไว้ได้นาน

เท่าที่ต้องการ อีกทั้งการอัดบรรจุเป็นก้อน ก็จะเพิ่มความสะดวกในการขนส่งมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์และโบราณคดียังค้นพบบันทึกเรื่องราวของชาผู่เอ่อร์ว่า ได้มีการใช้ชาผู่เอ่อร์เป็นเครื่องราชบรรณาการถวายแด่จักรพรรดิ์จีนมาตั้ง แต่เื่มื่อ 3,000 ปีก่อน เพียงแต่ในยุคสมัยนั้น ยังไม่มีการเรียกใบชาชนิดนี้ว่า ชาผู่เอ่อร์เท่านั้นเอง ต่อมาเมื่อมาถึงยุคราชวงศ์ถังจึงได้เริ่มบูรณาการการเพาะปลูกใบชาภายใต้ชื่อ “ชาผู่เอ่อร์”  ซึ่งนับแต่นั้นมา ชาผู่เอ่อร์จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก  และ มีบทบาทที่สำคัญทางการค้า และเศรษฐกิจของประเทศจีนมาตั้งแต่อดีตกาล

       เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์ชิงอันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน ความนิยมชาผู่เอ่อร์ได้พุ่งขึ้นมาถึงจุดสูงสุด โดยในขณะนั้น ชาผู่เอ่อร์มีราคาจำหน่ายที่สูงมาก ยิ่งเป็นชาผู่เอ่อร์คุณภาพดีเป็นพิเศษด้วยแล้ว อาจมีราคาจำหน่ายสูงกว่าทองคำถึงสองเท่า และเริ่มมีการใช้ชาผู่เอ่อร์เป็นชาในพระราชสำนัก ซึ่งมีคำบอกเล่าว่า ชาผู่เอ่อร์เป็นชาที่พระนางซูสีไทเฮาทรงโปรดปรานยิ่งนัก  จนถึงกับมีการใช้ชาผู่เอ่อร์นี้ เป็นเครื่องราชบรรณาการถวายให้แก่จักรพรรดิ์ หรือกษัตริย์ของประเทศอื่นๆ ด้วย  

https://youtu.be/7s3Gi6VeKWc

เมื่อมาถึงยุคสมัยที่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ และสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ขึ้นในปีค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจใบชายูนนานซบเซาลงอย่างมาก จนถึงยุคสมัยหลังการเปิดประเทศ และปฏิรูปแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีน รัฐบาลมณฑลยูนนานก็มิได้ให้ความสนใจต่อการพัฒนาใบชาคุณภาพที่มีประวิตศาสตร์ อันยาวนานอย่างชาผู่เอ่อร์แต่อย่างใด แต่กลับให้ความสำคัญในการเพาะปลูกชาเขียว และชาแดงเสียมากกว่า

เมื่อ ถึงยุคปัจจุบัน ในช่วงที่สังคมและเศรษฐกิจมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ชาวจีนต่างก็มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผู้คนจึงเริ่มหันมาสนใจในการดูแลรักษาสุขภาพ และให้ความสำคัญกับเรื่องของรสชาติในการบริโภคมากยิ่งขึ้น  ใบชาผู่เอ่อร์จึง เริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคมจีนอีกครั้งหนึ่ง  หาก แต่การกลับมาของชาผู่เอ่อร์ในครั้งนี้ มิได้เป็นที่นิยมแต่เฉพาะในมณฑลยูนนาน หรือมณฑลอื่นๆ ในประเทศจีนเท่านั้น หากแต่กระแสการดื่มชาผู้เอ่อร์ยังโด่งดังไปจนถึงฮ่องกง ไต้หวัน สิงค์โปร์ อเมริกา ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศไทยด้วย            

      ใน ปัจจุบัน เมื่อชาผู่เอ่อร์กลับมาได้รับความนิยม จึงทำให้ศิลปะในการหมักบ่ม และการชงชาผู่เอ่อร์แต่โบราณได้ถูกนำมาศึกษาวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกครั้งหนึ่ง  โดยประเภทและชนิดของชาผู่เอ่อร์นั้น ล้วนมีความแตกต่างกันไปในเรื่องของสรรพคุณ วิธีการชงชา การเก็บรักษา หรือแม้แต่ความสะดวกในการพกพา จากวัฒนธรรมแต่โบราณในการใช้คาราวานม้าเป็นพาหนะในการขนส่งใบชาผู่เอ่อร์ มาถึงความนิยมชมชอบด้วยสรรพคุณทางด้านตัวยาของชาผู่เอ่อร์ในปัจจุบัน จึงทำให้รัฐบาลมณฑลยูนนานตระหนักถึงคุณค่า โอกาส และความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของชาผู่เอ่อร์ ดังจะเห็นได้จากช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลมณฑลยูนนานได้ทุ่มงบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์เส้นทางโบราณสายดัง กล่าว รวมถึงรื้อฟื้นวัฒนธรรมโบราณ และโฆษณาถึงประโยชน์ในกาีรบริโภคชาผู่เอ่อร์ให้รู้จักกันอย่างกว้างขวางมาก ยิ่งขึ้น

ที่มา  ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน ณ นครคุนหมิง